ถ้าหากภูเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ 

ถ้าหากภูเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ  ถ้าพูดถึงเรื่องวันหยุดยาวแน่นอนว่า  มันคงจะเป็นที่ชื้นชอบของใครหลายๆ คนเป็นแน่เพราะในการทำงานแต่ละครั้งกว่าจะมีเวลาที่จะได้มีวันหยุดยาวแบบนี้นั้น 

คงมีน้อยครั้งมาก และแน่นอว่าสิ่งที่คุณคิดเป็นสิ่งแรกที่คุณจะได้หยุดยาวเลย ก็คือการไปเที่ยวนั้น สถานที่ที่คุณคิดอยู่ในหัวอันดับแรกๆ ก็คงจะเป็น ทะเลหรือไม่ก็ภูเขาที่คนมันจะไปพักผ่อนกัน 

ถ้าพูดถึงเรื่องภูเขาที่แรกๆ ที่คุณจะนึกถึงเลยก็คงจะหนีไม่พ้นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก  อย่างยอดเขาเอเวอร์เรส  ซึ่งมันมีความสูงถึง แปดพันแปดร้อย เมตร แต่มันแค่สูงอย่างเดียวก็คงจะยังเป็นที่น่าดึงดูดไม่พอ เพราะความเจ๋งหรือความสุดยอดของมันก็คือ เจ้าภูเขายักษ์นี้มันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ

และมันยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งก็คือ “โชโมลุงมา” แล้วที่ว่ามันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ นั้นคือมันจะสูงขึ้น 0.1 นิ้วของทุกๆ ปี แต่ถ้าหากว่าภูเขาทั้งหมดบนโลกของเราสูงขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นยังไงกันนะ และในหนึ่งอาทิตย์ภูเขาส่วนมากนั้นจะสูงถึง 3,050 เมตร นั้นคือช่วงที่เฮริครอปเตอร์จะหยุดบินในที่พื้นที่ภูเขานั้นๆ 

เพราะว่าความสูงเฉลี่ยที่เฮริครอปเตอร์สามารถบินได้นั้นอยู่ที่ 3,050 นั้นเอง  และเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนผู้คนนั้นสามารถตระหนักได้ว่าการที่จะเดินทางไปที่ไหนสักแห่งในพื้นที่ที่ห่างไกลนั้น  ไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เคยเพราะตอนนี้ไม่ใช้แค่ซื้อตั๋วเครื่องบินก็สามารถที่จะไปได้เนื่องจากเส้นทางบินส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะสามารถผ่านตรงนั้นได้

  และความสูงเฉลี่ยที่เครื่องบินสามารถบินได้ก็คือ 9,150 ถึง 10,670 เมตร  และถ้าสูงกว่านั้นจะไม่มีออกซิเจนในอากาศที่มาก   

เพื่อจะเป็นเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์บวกกับตัวอากาศเอง  ก็เบาบางเกินไปเกินกว่าจะอุ้มเครื่องบินให้อยู่ในอากาศได้และแน่นอนว่าเครื่องบินนั้นสามารถ  ที่จะออกจากเขาวงกตหินที่พึ่งก่อตัวขึ้นมาพร้อมกับส่วนที่เติบโตใหม่ของภูเขาได้ แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่เสี่ยงกับชีวิตของทุกคนมากเกิดไป

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม  จริงอยู่ที่ว่ายอดเขาเอเวอร์เรสนั้นสามารถสูงขึ้นได้ทุกปี ปีละ 0.1นิ้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช้ว่าภูเขาทุกลูกจะสามารถสูงขึ้นได้  และถ้ามันสูงขึ้นมาได้จริงๆ มันก็คงที่จะไม่สูงขึ้นจนเร็วเกินไปจนที่เรานั้นไม่สามารถรับมือกับมันทันทีทันใดหรอก มันคงจะค่อยๆ สูงขึ้นจนเราไม่ทันสังเกตเอง

 

สนับสนุนโดย.    หวยดี

ดวงดาว สปีดิ้ ที่นักดาราศาสตร์ได้มีการค้นพบ

คุณคงจะไม่คิดว่าดาวฤกษ์นี้มันจะสามารถเคลื่อนตัวได้เร็วขนาดนั้นเว้นแต่ว่าคุณเองนั้นจะเป็นนักดาราศาสตร์ คุณอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกมันนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้ถ้าเป็นแบบนั้นคุณเองก็คงจะต้องประหลาดใจที่กำลังจะได้เรียนรู้เรื่องราวที่มีชื่อว่า เอส5-เอชวีเอส1ที่ได้พุ่งผ่านแกนแล็คซี่ของเราด้วยความเร็วที่ 10,000ไมล์ต่อวินาที หรือ 16,093 กม.ต่อวินาที

ในขณะที่ได้มีการค้นพบที่ยอดเยี่ยมที่สุดมากมายนักดาราศาสตร์ก็ยังได้ค้นพบดาวอิสระดาวนี้โดยบังเอิญ นักวิจัยที่ได้รวบรวมของผลสำรวจที่เรียกว่า กระแสธารดาวฤกษ์ซึ่งมันเป็นส่วนเล็กที่อยู่เหนือของแกนแล็คซี่ที่ได้ถูกฉีดกระชากออกและได้ดูดกลืนเข้าไปที่ทางช้างเผือกที่มันได้มีขนาดที่ใหญ่กว่านักดาราศษสตร์ที่มี ชื่อว่า เซอร์เก โคโปซอฟ

ได้ค้นคว้าข้อมูลของการสำรวจจากนั้นเขาก็ได้พบเรื่องที่มันไม่ธรรมดาอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเขานั้นกำลังมองหาดวงดาวที่กำลังโคจรด้วยความเร็วที่เหนือความธรรมดาแต่กะต้องประหลาดใจที่ได้พบกับดาวที่พุ่งผ่านแกนแล็คซี่ในความเร็วที่จะต้องจารึกเอาไว้สำหรับแค่การมองเห็นนนั้นมันยังยากและมันจะบอกอะไรได้แต่ดาวที่มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาโคจรปโดยรอบๆของศูนย์กลางแกนแล็คซี่เหมือนอย่างโลกที่โคจรรอบๆดวงอาทิศซึ่งนักดาราศาสตร์ได้เรียกว่าการเคลื่อนที่ปกตินี้ว่า

การเคลื่อนที่เฉพาะดาวนั้นได้เคลื่อนไหวในอัตราหที่หลากหลายซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับระยะห่างซึ่งมันก็อาจจะใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าการเปลี่ยนแปรงตำแหน่งมันจะปรากฏขึ้นให้เห็นแต่อย่างไรก็ตามเอส5-เอชวีเอส1 แต่เรียกสั้นๆดีกว่าชื่อ สปีดิ้ ดีกว่าเพราะมันไม่ใช่ดาวปกติที่ธรรมดาและการเคลื่อนที่มันก็ไม่ปกติเลยด้วยสำหรับการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ได้บอกว่ามันได้เคลื่อนที่ไปตามกอบนอกของแกนแล็คซี่ของเราถูกเว่งออกไปนอกวงโคจรของตัวเองได้ระดับความเร็วที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์

นักดาราศาสตร์จักประเภคให้ลูกบอลพลาสม่าขาวร้อนๆนี้ว่า ดาวฤกษ์ในกระบวนการหลัก ประเภทเอ และประเมิลว่ามันได้มีขนาดใหญ่กว่า2เท่าของดวงอาทิศเท่านั้นมันคงไม่แปลกอะไรแต่ความประหลาดมาที่พบก็คือ ดาวที่มันใหญ่ขนาดนั้นมันกลับเคลื่อนที่ได้ความเร็วสูงมาก นักวิทยาศาสตร์เรียกดวงดาวความเร็วสูงนี้ว่า ดาวฤกษ์ที่มีความเร็วยิ่งยวดและมันมีแนวโน้มที่จะใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า สปีดิ้ มาก ต่อมาในทางเทคนิคถือว่านั้นมันไม่ใช่ดวงดาวเสียงทีเดียวแต่รู้จักกันในนาม ดาวนิวตรอน ที่ได้มีม้วนหนาแน่นมหาศาลเทียบกันก็คือลูกบอลพลาสม่าขนาดเล็กที่เย็นลงอย่างช้าๆซึ่งได้เหลือทิ้งไว้หลังจากที่ดาวสิ้นอายุไขและผ่านปรากฏการซุปเปอร์โนวาไปแล้ว